คู่มือทำความเข้าใจขั้นตอนการสมัครเรียนโรงเรียนประถมและมัธยมในออสเตรเลีย รวมทั้งนิวซีแลนด์ สามารถใช้เป็นไกด์ไลน์เริ่มต้นสำหรับผู้ปกครองของนักเรียนตั้งแต่อายุ 6-17 ปี ที่วางแผนสมัครเรียนออสเตรเลียไม่ว่าในโรงเรียรัฐบาลหรือเอกชนก็ตาม
กระบวนการสมัครเรียนประถมและมัธยมถือว่าใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าหลักสูตรระดับอื่น ๆ เพราะมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ไม่ว่าเอกสารที่ใช้ การทดสอบภาษาเฉพาะของเด็กอายุน้อยกว่า 18 ปี การเลือกสรรโรงเรียนที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังต้องมีการตรวจคุณสมบัตผู้ปกครอง และ/หรือจัดหาที่พักสำหรับนักเรียนด้วย ทั้งหมดนี้ต้องทำอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อคุณภาพของการใช้ชีวิตในต่างแดนของนักเรียนทุกคน - พูดง่าย ๆ ว่าเตรียมตัวดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
แต่ก่อนอื่น, ถ้ายังไม่เคยหาข้อมูลหลักสูตรประถมและมัธยมในออสเตรเลียมาก่อนเลย แนะนำให้ลองไปดูข้อมูลเบื้องต้น ที่นี่ ก่อนแล้วค่อยกลับมาอ่านบล็อกนี้เพื่อความเข้าใจแบบเต็มที่

ผู้ปกครองที่ติดต่อเข้ามาเพื่อขอคำปรึกษาเรื่องการสมัครเรียนของบุตรหลานกับ Hub 101 หลายคนต้องแบ่งเวลาจากการทำงานและดูแลครอบครัวเพื่อมาหาข้อมูล ดังนั้นจึงต้องการสรุปข้อมูลแบบเข้าใจง่าย เพื่อจะได้วางแผนได้เหมาะสม ถึงแม้กระบวนการของนักเรียนแต่ละคนจะใช้ระยะเวลาแตกต่างกันไป แล้วแต่เงื่อนไขส่วนตัว และโรงเรียนที่เลือกสมัคร แต่ก็สามารถเตรียมพร้อมเอาไว้ได้ง่าย ๆ ตามข้ันตอนต่อไปนี้
STEP 1 - เตรียมข้อมูล เตรียมเอกสารให้พร้อม
การสมัครเรียนของนักเรียนต่างชาติอายุน้อยกว่า 18 ปี ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนทำให้เอกสารที่เกี่ยวข้องในการสมัครเรียนมีค่อนข้างเยอะ นอกจากนี้ข้อมูลส่วนตัวและประวัติของนักเรียนแต่ละคนจึงเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อนำมาพิจารณาเลือกโรงเรียนที่เหมาะสม สเต็ปนี้สามารถแยกย่อยออกมาได้เป็น 3 ส่วน คือ
1- เอกสารผู้สมัคร
พาสปอร์ต ดูให้มั่นใจว่ามีอายุการใช้งานอีกไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรืออันที่จริงทำใหม่มาเลยก็ได้
ผลการเรียนเดิมอย่างน้อย 2 ปี (ฉบับภาษาอังกฤษ) เพื่อดูว่านักเรียนมีผลการเรียนแต่ละวิชาเป็นยังไงบ้าง และมีสถานะเป็นนักเรียนมาตลอดจริง ส่วนน้องคนไหนที่พึ่งจะเข้าโรงเรียนแล้วมีผลการเรียนปีเดียว ก็ใช้ปีเดียวได้ค่ะ
สูติบัตร หรือ ทะเบียนบ้าน (ต้นฉบับภาษาไทย และฉบับแปลภาษาอังกฤษ) เพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับผู้ปกครอง
ผลสอบภาษาอังกฤษ AEAS
| การสอบภาษา AEAS คือ การทดสอบทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักเรียนอายุ 7-17 ปี โดยทดสอบความสามารถในการสื่อสารและใช้เหตุผล และทักษธด้านคณิตศาสตร์ ใช้สำหรับการสมัครเรียนโรงเรียนประถมและมัธยมในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้ทั่วประเทศ |

นอกจากเอกสาร 4 รายการนี้แล้ว โรงเรียนอาจแจ้งขอสัมภาษณ์ผ่าน Zoom กับนักเรียนเพิ่มเติมในบางกรณี
2- ข้อมูลส่วนตัวผู้สมัคร
ข้อนี้อาจดูยิบย่อย แต่ความจริงเป็นข้อมูลที่สำคัญมากในการพิจารณาเลือกโรงเรียนที่เหมาะสมให้กับนักเรียน โดยเฉพาะในเคสที่อาจยังไม่มีราสยชื่อโรงเรียนในใจมาก่อน หลักสูตรการเรียนของออสเตรเลียจะมีโครงสร้างหลักสูตรตามแต่ที่รัฐกำหนดอยู่แล้ว ดังนั้นข้อแตกต่างหลักคือ facilities กิจกรรม ชมรม หรือทีมกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน เช่น โรงเรียน A อาจเด่นด้านบาสเก็ตบอล โรงเรียน B เด่นเรื่องโปรแกรมดนตรี โรงเรียน C มีแล็บทดลอง AI สุดไฮเทค เป็นต้น
| ตัวอย่างข้อมูลสำคัญ เช่น โรงเรียนและชั้นปีที่เรียนปัจจุบัน วิชาเรียนชอบเรียนมาก-น้อยที่สุด งานอดิเรก เครื่องดนตรี และ/หรือกีฬาที่ชอบ รวมไปถึงที่อยู่ในออสเตรเลีย | (ถ้ามี) เป็นต้น
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ใช้บริการสมัครเรียนกับ Hub 101 ก็สะดวกขึ้นไปอีก เพราะทางทีมเรามีแบบฟอร์มให้กรอกข้อมูลสำคัญ สามารถส่งมาพร้อมเอกสารอื่น ๆ ได้ ประหยัดเวลามากขึ้น
3- เอกสารผู้ปกครอง
ชื่อสกุลตามพาสปอร์ต
ความสัมพันธ์กับนักเรียน
contact details รวมถึงที่อยู่ เบอร์โทร และอีเมล
ทั้งหมดนี้เพื่อเก็บเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการติดต่อกรณีฉุกเฉิน รับเอกสารสำคัญ รวมทั้งตรวจสอบคุณสมบัติผู้ปกครองในฐานะ guardian (ผู้ปกครองที่พักและดูแลนักเรียนตลอดระยะเวลาการเรียน) ว่าเป็นไปตามเกณฑ์ที่ Immigration กำหนดไว้หรือไม่
หากผู้ปกครองคนไหนสะดวกจะเตรียมพวกเอกสารการเงินและหลักฐานการทำงานไดว้เลยก็ดีค่ะ เพราะยังไงสุดท้ายก็ต้องใช้ในการสมัครวีซ่าด้วยอยู่แล้ว และเผื่อบางกรณีที่ทางโรงเรียนเรียกดูเอกสารเพิ่มเติมด้วย
STEP 2 - เลือกเมือง และแจ้งเงื่อนไขการเลือกโรงเรียน
Hub 101 เข้าใจว่าการเลือกเมืองขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย บางครอบครัวมีตัวเลือกเมืองในใจอยู่แบบจายตัว เพราะมีสมาชิกอาศัยอยู่ในออสเตรเลียอยู่แล้ว และต้องการให้บุตรหลานเดินทางไปอาศัยอยู่ในเมืองนั้น ๆ ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายครอบครัวที่อยากเปรียบเทียบตัวเลือกหลายเมือง เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องที่พัก ไม่ว่าจะเป็นการสมัครโรงเรียนประจำ โฮมสเตย์ หรือมีผู้ปกครองเดินทางมาด้วยก็ตาม
ตัวอย่างเงื่อนไขการเลือกเมืองและโรงเรียนน่าจะเข้าใจง่ายขึ้นถ้าเราสรุปเป็นกลุ่มคำถาม ดังนี้
1- ชอบเมืองลักษณะไหน ตัวนักเรียนชอบทำกิจกรรมอะไร
อันที่จริงนักเรียนระดับประถมและมัธยมจะใช้เวลาส่วนมากทำกิจกรรมภายในโรงเรียนอยู่แล้ว ซึ่งภายในแคมปัสก็จะมี facilities ต่าง ๆ ที่ครบครันตามความจำเป็นในการเรียนรู้ของนักเรียน ลักษณธเมืองในที่นี้จึงหมายถึงสภาพดินฟ้าอากาศ การเดินทางภายในเมือง (กรณีไม่ได้อยู่ประจำ) สถานที่ทำกิจกรรมช่วงทัศนศึกษาต่าง ๆ รวมทั้งอิทธิพลทางความคิดเมื่อต้องเลือกเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย
2- อยู่ประจำ อยู่กับโฮมสเตย์ หรือพักกับผู้ปกครอง/ญาติ
โรงเรียนแต่ละแห่งมีตัวเลือกที่พักให้กับนักเรียนแตกต่างกันไป โดยส่วนมากจะเป็นโฮมสเตย์หรือการพักกับครอบครัวชาวออสซี่ อย่างไรก็ตามการพักโฮมสเตย์จะมีเงื่อนไขอายุขั้นต่ำไม่น้อยกว่า13 ปีหรือประมาณ Year 7 หากนักเรียนอายุน้อยกว่านี้ก็จำเป็นต้องมีผู้ปกครองเดินทางมาด้วยตามข้อกำหนดของ Immigration
3- โรงเรียนรัฐบาลหรือเอกชน
จะพูดว่าข้อแตกต่างหลักอยู่ที่อัตราค่าเล่าเรียนก็ไม่ผิดซะทีเดียว เพราะในแง่ของคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนทั้งสองแบบก็ไม่ต่างกันมากนัก เนื้อหาหลักสูตรมีการควบคุมดูแลอย่างเคร่งครัดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ อาจจะมีความแตกต่างของรายวิชาที่เปิดสอน facilities ภายในโรงเรียนบางอย่าง รวมทั้งย่านสถานที่ตั้งของโรงเรียน
อัตราค่าเล่าเรียนของโรงเรียนเอกชนมี range ค่อนข้างกว้างตั้งแต่ A$2x,xxx ไปจนถึง A$5x,xxx ต่อปีทีเดียว ในขณะเดียวกันค่าเรียนของโรงเรียนรัฐบาลจะกำหนดไว้ที่ราว A$2x,xxx ต่อปีตามที่รัฐนั้น ๆ กำหนด (ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2024) แต่อย่าพึ่งตีความไปว่าค่าเรียนที่ถูกกว่าจะหมายถึงคุณภาพการศึกษาที่ย่ำแย่รึเปล่า เพราะตัวเลขที่ต่ำกว่ามีที่มาจากเงินอุดหนุนของภาครัฐที่มีให้กับสถาบันการศึกษานั่นเอง ส่วนเรื่องคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจะมีหน่วยงานดูแลตามที่อธิบายด้านบน ทำให้ความสำเร็จของนักเรียนจากโรงเรียนทั้งสองแบบไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่เลย
4- งบประมาณที่ตั้งไว้ต่อปี
STEP 3 - ดำเนินการสมัครและรอจดหมายตอบรับ

กระบวนการสมัครเรียนและรอผลพิจารณาของนักเรียนแต่ละคนจะใช้เวลาไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่าขณะนั้นมีใบสมัครมากน้อยแค่ไหน เอกสารครบถ้วนหรือไม่ และทางโรงเรียนต้องการข้อมูลเพิ่มเติมอะไรรึเปล่า นอกจากนี้ยังต้องดูด้วยว่าโรงเรียนที่ต้องการสมัครนั้นยังมีโควต้านักเรียนต่างชาติเหลืออยู่ในปีการศึกษานั้น ๆ หรือไม่ เบ็ดเสร็จระยะเวลาอาจนานเป็นเดือนกว่าจะได้จดหมายตอบรับ (Letter of Offer) ดังนั้น Hub 101 แนะนำเผื่อเวลาในการทำเรื่องอย่างน้อยที่สุด 6 เดือนก่อนรอบที่ต้องการไปเริ่มเรียน
สำหรับรายละเอียดการแบ่งเทอมในแต่ละรอบปีการศึกษา ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.hub101study.com/post/primary-and-secondary-schools-in-australia
STEP 4 - ตอบรับ offer และชำระเงิน
จดหมายตอบรับ (Letter of Offer) จากโรงเรียนถือเป็นเอกสารสำคัญที่ระบุรายละเอียดที่ควรทราบทั้งหมดเกี่ยวกับหลักสูตรที่สมัครเอาไว้ แนะนำว่าควรอ่านเพื่อตรวจเช็คความถูกต้องให้เรียบร้อยทุกครั้ง ข้อมูลที่ระบุในจดหมาย เช่น
ชื่อสกุลนักเรียน และ student ID
ชื่อหลักสูตรที่สมัคร
วันที่เริ่มและจบหลักสูตร
ค่าเรียนทั้งหมด
ตารางแบ่งชำระค่าเรียน และกำหนดวันชำระ
จำนวนเงินมัดจำเพื่อออก COE และช่องทางการชำระ
เดดไลน์การตอบรับ offer
เงื่อนไขการ refund และอื่น ๆ ที่ควรทราบ
ขั้นตอนการตรวจทานนี้ถือว่าสำคัญมากเพราะหากมีคำถามและข้อสงสัยใดใด หรือแม้กระทั่งหากสังเกตเห็นข้อผิดพลาดอย่างตัวสะกดชื่อก็ควรแจ้งโรงเรียนให้ทราบเพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง
หากว่าตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างถูกต้องแล้ว ก็สามารถเซ็นตอบรับและเข้าสู่ขั้นตอนการชำระค่าเรียนตามที่โรงเรียนกำหนดได้เลย ถึงแม้รายละเอียดจำนวนเงินที่ต้องชำระของแต่ละโรงเรียนจะแตกต่างกันไป อาจพอสรุปโดยคร่าวตามนี้ คือ
1- ค่าเรียนโปรแกรมหลัก (ประถม/มัธยม) เทอมแรก
2- ค่าเรียนภาษาอังกฤษทั้งหมด (ถ้ามี)
3- ค่าประกันสุขภาพ
4- ค่ายูนิฟอร์มและอุปกรณ์การเรียนต่าง ๆ (ถ้ามี)
5- ค่าจัดหาที่พัก และค่าที่พักงวดแรก (ถ้ามี)

ทั้งนี้ต้องย้ำอีกครั้งว่าข้อมูลนี้ถือเป็นไกด์ไลน์เท่านั้น ตัวเลขที่แน่นอนขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละโรงเรียน และหลักสูตรที่นักเรียนสมัครด้วย สามารถตรวจเช็คได้จากจดหมายตอบรับที่ได้รับอีกครั้ง
ช่องทางการชำระเงินก็แบ่งเป็น 2 แบบ คือ การโอนเงินผ่านธนาคาร และการชำระด้วยบัตรเครดิต
นอกจากจดหมายตอบรับของนักเรียนแล้ว ยังมีแบบฟอร์มที่ผู้ปกครองต้องเซ็นด้วยโดยถือเป็นเงื่อนไขด้านเอกสาร และเพื่อรับรองความปลอดภัยของนักเรียนอายุน้อยกว่า 18 ปี
STEP 5 - โรงเรียนออก COE เพื่อใช้ยื่นวีซ่า
หลังจากโรงเรียนได้รับหลักฐานการชำระเงินและเอกสารตอบรับ offer แล้ว ก็จะออกเอกสารคอนเฟิร์มการชำระเงินที่เป็นเอกสารสำคัญ.ช้ในการยื่นสมัครวีซ่าที่เรียกว่า COE (Confirmation of Enrolment) รายละเอียดบนเอกสารจะระบุรายละเอียดสำคัญคล้ายจดหมายตอบรับ แต่มีข้อมูลเพิ่มเติมสำคัญระบุด้วยว่าชำระเงินค่าเรียนไปเท่าไหร่แล้ว
ขั้นตอนการออกเอกสารนี้อาจใช้เวลาตั้งแต่ 2-3 วันทำการจนถึงเป็นสัปดาห์ก็มี ซึ่งขั้นตอนระหว่างนี้แนะนำให้นักเรียนและผู้ปกครองเตรียมเอกสารวีซ่าอื่น ๆ ให้พร้อม เมื่อได้รับ COE มาเมื่อไหร่ จะได้พร้อมยื่นสมัครวีซ่าได้ทันทีนั่นเอง
STEP 6 - สมัครวีซ่า รอผล และเตรียมตัวเดินทาง
กระบวนการนี้ไม่ยากเลยเพราะเอกสารที่ใช้ยื่นวีซ่าส่วนมากคือเอกสารชุดเดียวกับที่ใช้สมัครเรียนนั่นล่ะ อาจจะมีเพิ่มเติม เช่น เอกสารการเงิน และหลักฐานการทำงานสปอนเซอร์บ้างเล็กน้อย นอกจากนี้จะเป็นเอกสารแปลซึ่ง Hub 101 มีบริการให้กับนักเรียนที่สมัครเรียนกับทางบริษัทฟรีอยู่แล้ว

ขั้นตอนการพิจารณาใช้ระยะเวลาแตกต่างกันไปแล้วแต่จำนวนใบสมัครในช่วงเวลานั้น ๆ โดยทางสถานทูตกำหนดระยะเวลาไว้ประมาณไม่เกิน 28 วันทำการ ทั้งนี้จะมีขั้นตอนย่อยระหว่างการพิจารณาคร่าว ๆ 2 อย่าง คือการแสกนนิ้ว และสัมภาษณ์ทางโทรศํพท์ในบางกรณี
หลังจากทราบผลวีซ่าผ่านก็สามารถเดินทางได้ทันทีไม่จำเป็นต้องรอวันเปิดเรียน
สำหรับขั้นตอนการยื่นสมัครวีซ่านักเรียนอย่างละเอียด, สามารถย้อนดูข้อมูลได้ทั้งทางหน้าเพจ Facebook และบล็อกก่อนหน้าได้เลยนะคะ
จากทั้งหมดนี้น่าจะเห็นว่าขั้นตอนที่ใช้เวลานานที่สุดคือขั้นตอนการเตรียมเอกสารและเลือกโรงเรียน เพราะมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ทั้งนี้เพื่อมั่นใจว่านักเรียนจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่เหมาะสมตามความต้องการ
สุดท้าย, ทางผู้เขียนอยากฝากข้อมูลสำคัญสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่วางแผนสมัครเรียนระดับประถมมัธยมให้บุตรหลานว่ ถึงแม้จะมีการเปิดรับนักเรียนเข้าเรียนได้ตลอดทั้งปี โควต้าการรับนักเรียนต่างชาติในแต่ละโรงเรียนในแต่ละปีการศึกษามีค่อนข้างจำกัด ดังนั้นแนะนำเริ่มดำเนินการสมัครล่วงหน้าก่อนปีการศึกษาที่ต้องการไปเริ่มแต่เนิ่น ๆ และสำคัญที่สุดคืออย่าพึ่งลาออกจากสถาบันการศึกษาปัจจุบัน เพราะสถานะนักเรียนถือเป็นคุณสมบัติสำคัญในการสมัครเรียนและวีซ่า
คุณพ่อคุณแม่ที่อยากได้ข้อมูลโรงเรียนประถมมัธยมในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ทที่แนะนำสามารถเข้าดูรายชื่อได้ที่ https://www.facebook.com/share/p/xoquqU4mob3zrNwU/ หรือหากมีชื่อโรงเรียนที่สนใจอยู่แล้วก็หลังไมค์มาสอบถามเพิ่มเติมได้เลยนะคะ
--
Tel: 081 441 8448
Line: hub101study
IG: hub_101_study
Tiktok: hub101study
.
#เรียนต่อออสเตรเลีย
#วีซ่านักเรียนออสเตรเลีย
#ต่อวีซ่าออสเตรเลีย
#วีซ่าท่องเที่ยวออสเตรเลีย
#เรียนต่อนิวซีแลนด์
#วีซ่านักเรียนนิวซีแลนด์
Comments